วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การบ้านใหม่ของคนไข้โรคข้อเสื่อม ประเด็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ของผู้สูงวัย

ผู้สูงอายุ

…….ประเด็น ทอล์คออฟเดอะทาวน์ ของเหล่าข้าราชการผู้สูงวัยและบรรดาลูกหลาน ไม่มีอะไรฮอตฮิตไปกว่า เรื่องยารักษาโรคข้อเสื่อม เพราะจู่ๆ ก็เหมือนโดนฟ้าผ่า เพราะถูกฟันฉับออกจากบัญชีรายชื่อยาที่ข้าราชการเบิกจ่ายได้
…….สาเหตุของการงดจ่ายยาโรคปวดข้อ สืบ เนื่องมาจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 23 มีนาคม แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการจัดทำมาตรการ กำกับดูแลการใช้ยาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า โดยเฉพาะการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ  ที่พบว่าสถานพยาบาลหลายแห่งมีสัดส่วนใช้ยานอกบัญชีฯ ร้อยละ 60-70% โดยเฉพาะยาโรคไขข้อและกระดูกซึ่งมีราคาค่อนข้างแพง (ThaiPR.net วันพฤหัสที่ 30 ธันวาคม 2552)

……..คณะทำงานฯ ได้สรุปว่ายาในกลุ่ม SYSADOA (กลู โคซามีน คอนดรอยดินซัลเฟส และไดอะเซอเรน) ทุกรูปแบบ และกลุ่มยาที่ฉีดเข้าข้อ (ไฮยาลูโรแนนและอนุพันธ์) ไม่มีประสิทธิ ภาพชัดเจนในการรักษา การใช้ยากลุ่มนี้อาจไม่เกิดประโยชน์และไม่คุ้มค่ากับราคาที่จ่าย ซึ่งส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ดังนั้นจึงมีหนังสือสั่งให้กลุ่มยาเหล่านี้เป็นรายการที่ห้ามเบิกจ่ายจาก ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554

…….ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับยาบรรเทาอาการปวดข้อ กลุ่ม SYSADOA ซึ่งค้านกับข้อมูลอีกด้าน ที่เป็นการศึกษาของ Prof. Reginster ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet ปี 2001 แสดงให้เห็นว่าการรับประทานกลูโคซามีน ซัลเฟต 1500 มก. นานต่อเนื่อง 3 ปี มีผลทำให้ข้อเสื่อมช้าลง จากการดูผล X-ray ที่ช่องว่างของข้อ และผลข้างเคียงของผู้ป่วยที่ใช้กลูโคซามีน ซัลเฟต ไม่ได้แตกต่างจากกลุ่มผู้ป่วยที่ได้ยาหลอก Prof. Reginster ยังให้ความคิดเห็นอีกว่า    ผลการศึกษานี้เป็นการใช้กลูโคซามีน ซัลเฟต ที่เป็นยา  ไม่สามารถนำผลการรักษานี้ไปอ้างอิงกลูโคซามีนตัวอื่นได้

…….และ อีกข้อมูลจากการรีวิวการศึกษาของกลูโคซามีน ที่รายงานใน Cochrane library ในปี 2005 ผู้วิจัยได้ทำการรีวิวข้อมูลการศึกษาทั้งหมดของกลูโคซามีนตั้งแต่ในอดีต จนถึงปี 2005 ผู้ทำการวิจัยสรุปว่า กลูโคซามีนให้ผลดีในการรักษาอาการข้อเสื่อม และกลูโคซามีนของผู้ผลิตยาแต่ละรายให้ผลการรักษาดีไม่เหมือนกัน บางรายไม่ให้ผลทางการรักษาเลย

…….แต่ ข้อมูลที่ชี้ชัดสุด คือ ผลการวิจัยจาก The Joint Area Prescribing Committee (JAPC) ในปี 2010 ซึ่งระบุว่า สารกลูโคซามีน ซัลเฟต ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลในการรักษาเข่า เป็นสารชนิดเดียวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท Rotta ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของบริษัทที่ได้รับใบอนุญาต และเป็นยาเพียงตัวเดียวที่มีผลการศึกษายืนยันประสิทธิภาพการรักษาทั้งด้าน การบรรเทาอาการและชะลอความเสื่อมของข้อเข่า จึงมีความปลอดภัยในระยะยาว แม้จะมีราคาแพงกว่าก็ตาม ผู้วิจัยยังระบุว่าไม่ควรใช้กลูโคซามีนที่ไม่ใช่ลิขสิทธิ์และไม่มีใบอนุญาต เนื่องจากไม่มีผลการวิจัยรับรองและไม่สามารถยืนยันผลการรักษาหรือผลข้าง เคียงได้

…….ใน เมื่อมีข้อมูลสนับสนุนในผลการรักษาที่เชื่อถือได้ของกลูโคซามีน จากข้อมูลล่าสุดนี้ ทำให้สงสัยไม่น้อยว่า ที่รัฐตัดกลูโคซามีนออกจากบัญชีรายชื่อยา เพราะไม่ได้ผลตามที่กล่าวอ้างหรือมีเหตุผลอื่นกันแน่ โดยเฉพาะกระแสก่อนหน้านี้ ที่ นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เปิดเผยตัวเลขการเบิกจ่ายยาของข้าราชการไทยพุ่งไปที่  7 หมื่นล้าน/ปี และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เฉลี่ยปีละเกือบ15-20% สาเหตุที่ค่าใช้จ่ายในระบบสวัสดิการข้าราชการสูงขึ้น เพราะจ่ายตามที่เบิกจริงและไม่มีมาตรการควบคุม ยาหลายชนิดเป็นยานอกบัญชีกลางซึ่งมีราคาแพง หากไม่มีการควบคุมคาดว่าปีงบประมาณ 2553  การเบิกจ่ายน่าจะพุ่งไปหลักแสนล้าน !

…….ข้อมูล เหล่านี้ทำให้เกิดคำถามคาใจว่า หรือแท้ที่จริงแล้วเหตุผลที่รัฐตัดรายชื่อกลูโคซามีนออกไปเพียงเพราะต้องการ ควบคุมงบประมาณเพียงอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับประสิทธิภาพการรักษาใช่หรือไม่ ถ้าเป็นอย่างที่วิเคราะห์  เชื่อว่าอีกไม่นานน่าจะมีรายชื่อยาที่ถูกตัดสิทธิ์เบิกจ่าย ทยอยประกาศตามมาอีก

…….ประเด็นร้อนๆ ทำให้คณะรัฐบาลต้องหันมาทบทวน ล่าสุดนายจุรินทร์ ลัก ษณวิศิษฏ์ รมว.สธ. ได้มอบหมายให้อธิบดีกรมการแพทย์ ศึกษาข้อมูลทางวิชาการในยากลุ่มรักษาข้อเสื่อม เพื่อดูว่ายาตัวไหนต้องทบทวน หรือต้องแก้ไขสรรพคุณ และส่งเรื่องให้ อย. พิจารณา คาดว่าจะแล้วเสร็จใน 2 สัปดาห์…ข้าราชการเหมือนได้รับข่าวดี สุดท้ายอาจพลิกผันไปอีกสุดจะคาดเดา แต่โรคข้อเสื่อมรอไม่ได้ ทางที่ดีควรศึกษาตัวยาที่คุณวางใจตั้งแต่เนิ่นๆ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น